เล่าประสบการณ์นักเรียนแลกเปลี่ยน

สวัสดีครับ เราชื่อโตโต้ ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล จังหวัดสกลนคร เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองใกล้ๆกับเมือง Erfurt เมืองหลวงของรัฐ Thueringen, ประเทศเยอรมนี ในปีการศึกษา 2015/2016

โต้เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีความฝันว่าอยากจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ โดยส่วนตัวสนใจในภาษาและวัฒนธรรมของประเทศเยอรมันอยู่แล้ว เพราะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผู้คนมีระเบียบวินัย มีความตรงต่อเวลา และโต้เองก็อยากได้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่3 เลยลองสมัครสอบทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนของทางโครงการ YES

img_20170724_009

สมัครตอนม.4 ไม่ติด เลยมาลองใหม่ตอนม.5 พยายามและตั้งใจอย่างเต็มที่ทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ จนในที่สุด ก็ได้เข้าร่วมโครงการโดยได้รับทุนเต็มจำนวนของประเทศเยอรมัน หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนพิเศษภาษาเยอรมันในช่วงปิดเทอมเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพราะความรู้ทางภาษาตอนนั้นคือศูนย์เลย รู้แต่ Guten Tag, Entschuldigung,Danke สวดมนต์ทุกวันขอให้ได้โฮสต์เร็วๆ แต่ก็ไม่ได้สักที ตอนนั้นใจเริ่มเสีย เพราะว่าเพื่อนๆโครงการเดียวกันทั้งทำวีซ่าทั้งได้โฮสต์กันหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็มีเจ้าหน้าที่จากทาง YES โทรมาหาว่าโฮสต์ตอบรับแล้ว

โต้ได้โฮสต์แฟมเป็นครอบครัวเล็กๆมีพ่อ แม่ และโฮสต์บรากับโฮสต์ซิส โฮสต์พ่อทำงานเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าและบริการของบริษัทแห่งหนึ่ง ต้องขับรถไปหาลูกค้าเกือบทุกวัน โฮสต์แม่ทำงานเป็นผู้ช่วยจักษุแพทย์ในเมืองข้างๆ โฮสต์บราอายุ 19 ปี เรียนมหาลัยคนละเมืองเลยย้ายออกไป ส่วนโฮสต์ซิสอายุ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ Gymnasium คลาส 12 (โรงเรียนเดียวกัน) ตอนที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับโฮสต์มา สิ่งแรกที่ทำคือเขียนอีเมลล์ไปหา แล้วขอ Facebook เลยได้คุยกันกับโฮสต์ซิสเกือบทุกวัน (คุยเป็นภาษาอังกฤษ มีเยอรมันปนบ้างนิดหน่อย โฮสต์ซิสก็เลยสอนเยอรมันไปด้วยในตัว) โต้มีห้องส่วนตัวด้วย โต้อยู่ในหมู่บ้านที่ชื่อว่า Kornhochheim เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ของเมือง Neudietendorf ซึ่งก็เป็นเมืองเล็กๆ เช่นกันก็แต่มีทั้งโรงเรียน ร้านอาหาร สถานีรถไฟ พิพิธภัณฑ์ ฯ เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่าง โดยการที่อยู่ในรัฐ Thueringen ที่ๆโต้อยู่จะมีป่าค่อนข้างเยอะ อากาศเลยไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ออกจะชื้นๆ มากกว่า ช่วงแรกๆคือรู้สึกหนาวทุกวัน ถ้าไม่ใส่เสื้อแขนยาวหรือแจ็คเก็ตจะไม่กล้าออกจากบ้าน ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -10กว่าองศา ที่เที่ยวส่วนใหญ่ในรัฐนี้ก็จะเป็นอะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากกว่า เช่น Erfurter Dom, Kraemerbruecke,Goethes Wohnhaus,Schillers Wohnhaus ฯ เป็นต้น

แปปเดียวก็ถึงวันเดินทางแล้ว ตื่นเต้นมากๆเพราะเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรก พอร่ำลากับทางครอบครัวเสร็จแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทาง เดินเข้าเกทไปก็ปาดน้ำตาไปด้วย (ก็คนไม่เคยไกลบ้านอะเนอะ5555) โต้ต้องบินสองต่อ (ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์) ต่อแรกจากไทยไปสิงคโปร์ ต่อที่สองจากสิงคโปร์ไปลงที่แฟรงค์เฟิร์ต(เยอรมนี) พอถึงสนามบิน ก็จะมีคนของทางโครงการมารับที่สนามบิน (ของโต้คือโครงการ DFSR) แล้วก็พาไปเข้าค่ายภาษาและวัฒนธรรมสองอาทิตย์ที่เมือง Mannheim ได้เพื่อนใหม่จากหลายประเทศเลย ทั้งสวีเดน เดนมาร์ค สเปน ญี่ปุ่น ไต้หวันฯ ใช้เวลาทั้งหมดสองอาทิตย์ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปหาโฮสต์ บางคนโฮสต์มารับถึงที่เข้าค่าย แต่ส่วนใหญ่ขึ้นรถไฟไปหาโฮสต์เอง(พี่ด้วย) ใครได้รถไฟเที่ยวเดียวก็โชคดีไป ปัญหาแรกที่ต้องเจอเลยคือการเปลี่ยนสถานีรถไฟ เป็นการเดินทางที่ง่วงมากแต่ไม่กล้าหลับ เพราะกลัวเลยสถานีที่เราต้องเปลี่ยน55555 เดินทางจาก Mannheim>Fulda>Erfurt ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆเลย เพราะจะได้เจอโฮสต์เป็นครั้งแรก(โฮสต์จะมารอรับที่สถานีรถไฟ) พอลงจากรถไฟก็มองเห็นโฮสต์ กำลังมองหาเรา(มากันทั้งครอบครัวเลย รู้สึกดี) พอเจอกันเขาก็วิ่งเข้ามากอด แนะนำตัวอีกทีว่าใครเป็นใคร แล้วก็พากลับบ้าน ระหว่างการเดินทางพ่อก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ เรื่องที่โรงเรียน เรื่องที่บ้านที่ไทย ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีบนถนนหลวง(Autobahn) ในการเดินทางจากเมือง Erfurt ไปถึงบ้านโฮสต์ พอถึงแล้วก็ได้เวลาขนกระเป๋าเข้าบ้าน โฮสต์ให้กุญแจบ้านแล้วก็พาเดินสำรวจบ้าน ทั้งข้างในและข้างนอก บ้านของโฮสต์เป็นบ้านขนาดกลางๆ ชั้นบนมีสามห้องนอน สองห้องน้ำ ชั้นล่างมีหนึ่งห้องครัว และห้องนั่งเล่นอีกหนึ่งห้อง มีห้องใต้ดินที่พ่อเอาไว้ทำงานและเก็บของ มีสวนที่ปลูกผลไม้พวกเบอร์รี่ แอปเปิ้ล องุ่นไว้กินเอง มีสวนสมุนไพรเอาไว้ไปตากเป็นเป็นน้ำชา(งานอดิเรกของแม่) หลังจากนั้นโฮสต์ก็พาเดินไปสำรวจหมู่บ้าน พาไปดูไปรษณีย์ ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านอาหาร(ในหมู่บ้านมีร้านซูชิด้วย) และโรงเรียนที่เราต้องเรียน แล้วในตอนเย็นของวันนั้นพอดีมีงานเลี้ยงประจำปีของทางหมู่บ้าน โฮสต์ก็เลยถือโอกาสนี้พาไปแนะนำตัวว่าเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะมาอยู่บ้านเค้าเป็นเวลาสิบเดือน ตอนนั้นภาษาเยอรมันโต้พูดได้แค่นิดเดียว(ยังคงมีความตะกุกตะกัก+เขินเวลาพูดนิดหน่อย) แต่ทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี บางคนก็บอกว่าเคยไปประเทศไทยแล้ว ประเทศไทยสวยมากๆ ก็มีถามบ้างว่าทำต้มยำกุ้งเป็นไหม ทำขนมไทยเป็นไหม ถ้าทำวันไหนให้ไปกดกริ่งเรียกที่หน้าบ้านเลย เดี๋ยวขอไปชิม5555 คืนแรกผ่านไปด้วยดี วันต่อมาคือวันอาทิตย์ ที่เยอรมันคือวันหยุด ทุกคนจะหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน จะเปิดเฉพาะร้านอาหาร พี่ก็จัดกระเป๋า ข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวไปโรงเรียนวันจันทร์ รู้สึกเครียดเลยอะ ไปโรงเรียนวันแรก จะมีเพื่อนไหม เดินเรียนไหมหรืออยู่ในห้องเดียว เรียนรวมหรือเรียนแยก ห้องน้ำอยู่ไหน ฯ สารพัดคำถาม เรียกได้ว่าคืนก่อนไปโรงเรียนนอนแทบไม่หลับ

img_20170724_005
img_20170724_010

โรงเรียนที่โต้เรียนเป็นโรงเรียนรัฐบาลชื่อว่า Von-Buelow Gymnasium เป็นโรงเรียนที่คล้ายๆกับโรงเรียนสายสามัญของไทยเราขนาดไม่ใหญ่มาก เปิดสอนตั้งแต่เกรด5-ถึงเกรด12 มีนักเรียนรวมทั้งหมดประมาณห้าร้อยกว่าคน โรงเรียนเปิดสอนมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว โต้ยังไม่มีตารางเรียน โฮสต์ซิสก็พาไปหาครูที่รับผิดชอบ รับตารางเรียน ซึ่งเกรดสิบมีวิชาบังคับคือ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พละศึกษา ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ ภาษาเยอรมัน ภูมิศาสตร์ สังคมศึกษา ศิลปะดนตรี วิชาโครงงาน เศรษฐศาสตร์ และดาราศาสตร์ และมีวิชาเลือก มีให้เลือกระหว่าง Infomatik (วิชาสารสนเทศ),DG (การละคร),NWuT (วิทยาศาสตร์และเทคนิค) ซึ่งตรงนี้โต้ตัดสินใจลงวิทยาศาสตร์เพราะเป็นคนไม่ชอบทำอะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์(เกรดสิบจะเรียนเขียนโปรแกรมพอดี) การละครก็อยากลงแต่ต้องจำบท ต้องพูดเยอะ รู้สึกว่าเรายังไม่พร้อมเท่าไหร่เลยขอไปเรียนวิทยาศาสตร์น่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะคุ้นเคยกับสูตรต่างๆและได้ศัพท์ใหม่ๆยากๆมาเยอะๆด้วย และมีให้เลือกอีกระหว่าง จริยธรรมหรือศาสนา นอกจากนี้ที่ต้องเลือกก็มีภาษาต่างประเทศ มีให้เลือกคือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน ภาษาสเปน ภาษารัสเซีย ซึ่งในตรงนี้โต้ขอครูไม่ลง เพราะอยากให้ได้ภาษาเยอรมันก่อน ครูเขาก็เข้าใจ เพราะเราก็ไม่ได้ไปเก็บเกรดแบบจริงๆจังๆ หลักๆเลยคือประสบการณ์และภาษา หลังจากได้ตารางเรียนอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเดินหาห้องเรียน โดยเราจะต้องเดินเรียน ไม่มีห้องประจำ พอไปถึงคือเริ่มคาบแรกไปแล้วสิบนาที(วิชาคณิตศาสตร์ โฮสต์ซิสบอกว่าครูดุด้วย) วันแรกก็เลทเลยแฮะ พอเข้าไปก็มีเสียงฮือฮา เพราะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนคนแรกที่มาจากทางเอเชีย ครูก็หาที่นั่งให้แล้วก็สอนต่อ เรียนคณิตศาสตร์เป็นภาษาเยอรมัน โอ้โห อยากจะร้องไห้ นอกจากโจทย์ที่เป็นเลขแล้วทำอย่างอื่นไม่ได้เลยครับ555555 มึน แต่หลังจากนั้นก็ปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ ทุกอย่างต้องใช้เวลา

img_20170724_004
img_20170724_006

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเพื่อนกัน คือกังวลมากเลยว่าจะไม่มีเพื่อน แต่คลาสเมททุกคนเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากๆ พอจบคาบปุ๊บก็พากันมาแนะนำตัวทีละคนๆ พาทัวร์โรงเรียน ห้องอะไรอยู่ที่ไหน วิชานี้เรียนยังไง และชอบถามเกี่ยวกับประเทศไทย คนไทยกินอะไร ทะเลที่ไหนสวย อยู่โรงเรียนเรียนอะไรบ้าง สอนภาษาไทยได้ไหม ซึ่งตัวนี้จะเป็นอะไรที่ฮิตมากในกลุ่มเพื่อนนักเรียน ชอบให้เขียนชื่อภาษาไทยให้ ทำกิจกรรมด้วยกันตลอด เล่นกีฬา วาดภาพ เดินป่าพาไปดูหนัง พาไปเที่ยวต่างเมือง ถึงทุกคนดูจะมีกลุ่มยิบย่อยเป็นของตัวเอง แต่พอมีอะไรก็ช่วยเหลือตลอด

สี่เดือนแรกของการแลกเปลี่ยนคือช่วงเวลาแห่งการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเจน แรกๆเลย โฮสต์จะพูดเยอรมันช้าๆชัดๆ พร้อมบอกความหมายคำที่เราไม่รู้พร้อมกับตัวอย่างประโยค หรือโฮสต์ซิสจะช่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษให้ ถ้าเราไม่เข้าใจภาษาเยอรมัน โต้ก็ซื้อหนังสือมาอ่าน ดูยูทูป ฟังเพลงฝึกภาษาเยอรมันไปเรื่อยๆ แล้วพอมาถึงวันนึง เราฟังออกมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น ทำให้กล้าสื่อสารกับคนอื่นๆมากขึ้น อ่านบทความแล้วเข้าใจทั้งหมดทั้งที่ตอนแรกไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรด้วยซ้ำ

สุดท้ายนี้ถึงเพื่อนๆหรือน้องๆคนไหนที่สนใจอยากจะมาแลกเปลี่ยน เรียนต่อ หรือท่องเที่ยว ก็ขอฝากเยอรมนีหรือประเทศในยุโรปอื่นๆด้วยนะครับ เพราะไม่ใช่แค่บรรยากาศแตกต่างจากไทยเท่านั้น แต่ยังมีอะไรใหม่ๆให้พบเจออีกมากมาย แต่ทั้งภาษา วัฒนธรรม ผู้คน สิ่งที่โต้ได้มา คุ้มมากๆเมื่อเทียบกับเวลาเพียงแค่สิบเดือน ได้ภาษาที่สาม ได้พึ่งตัวเอง ได้ทำอะไรด้วยตัวเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และทำให้รู้ถึงคุณค่าของเวลาและความรักของครอบครัวมากขึ้นอีกด้วยครับ

img_20170724_008
img_20170724_007

Peerapol Kanisada
นักเรียนแลกเปลี่ยน ประเทศ เยอรมัน
YES 29

img_20170724_002
Click to rate this post!
[Total: 0 Average: 0]